ปัสสาวะทีไร แสบขัด มีกลิ่น แถมกลั้นไม่อยู่ ใช่กระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือเปล่า
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเกิดการติดเชื้อจากสิ่งแวดล้อม พบมากในผู้หญิง เนื่องจากท่อทางเดินปัสสาวะผู้หญิงสั้นกว่าผู้ชาย โดยท่อทางเดินผู้หญิงยาวแค่ 4 ซม. แต่ผู้ชายยาวถึง 18-20 ซม. จึงเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงมีการติดเชื้อได้มากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย เช่น การกลั้นปัสสาวะ มีเพศสัมพันธ์บ่อย เป็นนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
สาเหตุการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
สาเหตุของการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบเกิดได้หลายสาเหตุ โดยสาเหตุหลักในการเกิดคือ การอักเสบจากเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งปกติในท่อทางเดินปัสสาวะไม่ควรพบการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ แต่การติดเชื้อของจุลินทรีย์ โดยเฉพาะ Escherichia coli (E. Coli) ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้มากสุดในระบบทางเดินปัสสาวะจะก่อให้เกิดการหลั่งสารกระตุ้นการอักเสบ เช่น interleukins-1, interleukins-6, interleukins-8 และ Tumour necrosis factor α (TNF-α) เป็นผลให้เกิดการอักเสบสูงขึ้น นอกจากนี้ยังพบเชื้อ Klebsiella, Pseudomonas, Enterobacter และมีรายงานว่า Staphylococcus saprophyticus พบได้ร้อยละ 10 ของอาการติดเชื้อของระบบปัสสาวส่วนล่างในผู้ป่วยอายุน้อยและผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ได้ เมื่อเกิดการอักเสบ ผลที่ตามมาคือ เนื้อเยื่อที่ท่อปัสสาวะของกระเพาะปัสสาวะเกิดการหดตัวหรือบางลง ทำให้การซึมผ่านของสารต่างๆและการป้องกันสารพิษลดลง นอกจากนี้ยังส่งผลให้การทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นตัวคัดกรองสารถูกทำลาย เช่น ZO-1, Occludin, Cluadins เป็นผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น
อาการ
- ปวดท้องน้อยบริเวณสีข้าง หลังล่าง หรือ อุ้งเชิงกราน เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะอยู่ภายในอุ้งเชิงกราน ด้านหลังกระดูกหัวเหน่า และไตอยู่ค่อนไปทางด้านหลัง จึงมีอาการปวดค่อนไปทางข้างหลัง
- ปวดปัสสาวะบ่อย แต่ปัสสาวะออกได้ไม่สุด
- ปัสสาวะติดขัด ปวดแสบ ปัสสาวะบ่อยแต่ออกมาน้อย
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะมีสีขุ่น มีกลิ่นแรงผิดปกติและอาจมีเลือดปน
- ผู้ที่ชอบกลั้นปัสสาวะ
- ใช้ยาปฏิชีวนะในการสวนล้างทำความสะอาดช่องคลอด
- การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
- การรับประทานยากดภูมิต้านทาน
- การใส่สายสวนปัสสาวะ
การปรับพฤติกรรม
การปรับพฤติกรรมเป็นจุดเริ่มต้นที่เริ่มจากการจัดการตัวเอง โดยการไม่กลั่นปัสสาวะ เพื่อให้ขับเชื้อโรคต่าง ๆ ออกจากร่างกาย ทำความสะอาดร่างกาย อวัยวะเพศทุกครั้งหลังปัสสาวะ อุจจาระ และหลังมีเพศสัมพันธุ์ให้สะอาดเพื่อลดการเกิดโรค และเสริมด้วยการดื่มน้ำระหว่างวันให้ร่างกายขับของเสียออกอย่างสม่ำเสมอ
ยา
การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นการรักษาแบบฉับพลัน โดยใช้ยาในกลุ่มของ fluoroquinolone ได้แก่ Norfloxacin, Ofloxacin, Ciprofloxacin ควรทางไม่เกิด 7 วัน หากมีอาการไม่รุ่นแรงทานประมาณ 3-5 วัน แต่ถ้าหากอาการรุนแรงต้องเพิ่มระยะเวลาในการรับยาปฏิชีวนะประมาณ 7-10 วัน ทั้งนี้ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร
อาหารเสริม
ในปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยในการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ สาเหตุหนึ่งที่เกิดคือ การเสียสมดุลของจุลินทรีย์ในช่องคลอด เป็นผลทำให้ความเป็นความเป็นกรดในช่องคลอดลดลง เพิ่มโอกาสการาเจริญของเชื้อโรค เชื้อฉวยโอกาส ให้มีการเจริญเพิ่มขึ้น ดังนั้นการทานผลิตภัณฑ์จากโพรไบโอติกสามารถช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในช่องคลอดได้ นอกจากนี้ยังลดการอักเสบ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับช่องคลอดและร่างกายได้ ช่วยเสริมความแข็งแรงของผนังเซลล์ในผนังของท่อปัสสาวะ เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพิ่มการดูซึมผ่านของสารและลดการแพร่ผ่านของสารพิษ
อ้างอิง
Lin H-Y, Lu J-H, Chuang S-M, Chueh K-S, Juan T-J, Liu Y-C, Juan Y-S. Urinary Biomarkers in Interstitial Cystitis/Bladder Pain Syndrome and Its Impact on Therapeutic Outcome. Diagnostics. 2022; 12(1):75.
Ueda T, Hanno PM, Saito R, Meijlink JM, Yoshimura N. Current Understanding and Future Perspectives of Interstitial Cystitis/Bladder Pain Syndrome. Int Neurourol J. 2021 Jun;25(2):99-110.