โพรไบโอติก พรีไบโอติก และซินไบโอติก คืออะไร?
อัพเดทล่าสุด: 23 เม.ย. 2025
45 ผู้เข้าชม
โพรไบโอติก พรีไบโอติก และซินไบโอติก คืออะไร?
## โพรไบโอติก (Probiotics)
โพรไบโอติกคือจุลินทรีย์ที่มีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า "แบคทีเรียดี" ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของเรา เมื่อรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้และส่งผลดีต่อสุขภาพ
**ตัวอย่างโพรไบโอติก:** แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) และบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium)
**แหล่งอาหาร:** โยเกิร์ต กิมจิ ผักดอง เต้าเจี้ยว เทมเป้ คีเฟอร์ และอาหารหมักดองต่างๆ
### โพรไบโอติกอยู่ที่ไหนบ้างในร่างกาย?
โพรไบโอติกส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในลำไส้ใหญ่ แต่ยังพบได้ในส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย เช่น:
- ช่องปาก
- ลำไส้เล็ก
- ช่องคลอด (สำหรับผู้หญิง)
- ผิวหนัง
### โพรไบโอติกมีในร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่?
ร่างกายของเราเริ่มได้รับโพรไบโอติกตั้งแต่แรกเกิด ระหว่างการคลอดตามธรรมชาติ ทารกจะได้รับแบคทีเรียจากช่องคลอดของมารดา และต่อมาจากน้ำนมแม่ ระบบจุลินทรีย์ในลำไส้ (gut microbiome) จะค่อยๆ พัฒนาและเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงชีวิต โดยได้รับอิทธิพลจากอาหาร ยา สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิต
## พรีไบโอติก (Prebiotics)
พรีไบโอติกคืออาหารของโพรไบโอติก เป็นใยอาหารชนิดพิเศษที่ร่างกายย่อยไม่ได้ แต่แบคทีเรียดีในลำไส้สามารถใช้เป็นอาหารได้ พรีไบโอติกจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและกิจกรรมของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในลำไส้
**ตัวอย่างพรีไบโอติก:** อินูลิน (Inulin), ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์ (FOS)
**แหล่งอาหาร:** หัวหอม กระเทียม กล้วย ข้าวโอ๊ต แอปเปิ้ล หัวชิโครี่ และข้าวบาร์เลย์
## ซินไบโอติก (Synbiotics)
ซินไบโอติกคือการผสมผสานระหว่างโพรไบโอติกและพรีไบโอติกเข้าด้วยกัน เป็นแนวคิดการทำงานร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัย โดยพรีไบโอติกจะเป็นอาหารให้โพรไบโอติก ทำให้โพรไบโอติกเจริญเติบโตได้ดีและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
**ประโยชน์:** การรับประทานทั้งโพรไบโอติกและพรีไบโอติกพร้อมกัน จะเพิ่มโอกาสที่แบคทีเรียดีจะอยู่รอดในลำไส้และทำงานได้ดีขึ้น
## ประโยชน์ต่อสุขภาพ
- ช่วยระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ลดอาการท้องผูก ท้องเสีย
- ลดอาการแพ้และภูมิแพ้บางชนิด
- ช่วยในการดูดซึมแร่ธาตุ
- อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคลำไส้บางชนิด
## เด็กและผู้สูงอายุทานโพรไบโอติกได้หรือไม่?
### สำหรับเด็ก
เด็กสามารถทานโพรไบโอติกได้และมักได้ประโยชน์จากการรับประทานโพรไบโอติก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณี:
- เด็กที่มีอาการท้องเสียจากการติดเชื้อหรือการใช้ยาปฏิชีวนะ
- เด็กที่มีปัญหาโรคลำไส้อักเสบ
- เด็กที่มีอาการแพ้หรือโรคภูมิแพ้
อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้ผลิตภัณฑ์เสริมโพรไบโอติกแก่ทารกและเด็กเล็ก
### สำหรับผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุสามารถรับประทานโพรไบโอติกได้และอาจได้รับประโยชน์เป็นพิเศษ เนื่องจาก:
- ความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้มักลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
- ผู้สูงอายุมักมีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง
- ปัญหาท้องผูกเป็นเรื่องพบบ่อยในผู้สูงอายุ
- โพรไบโอติกอาจช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรงหรือมีโรคประจำตัวร้ายแรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมโพรไบโอติก
## การรักษาโรคด้วยโพรไบโอติก
โพรไบโอติกมีบทบาทสำคัญในการรักษาและป้องกันโรคหลายชนิด:
### โรคที่มีการศึกษาว่าโพรไบโอติกช่วยได้
1. **ท้องเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะ** - โพรไบโอติกช่วยลดโอกาสเกิดอาการท้องเสียที่เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะได้ถึง 60%
2. **โรคลำไส้แปรปรวน (IBS)** - ช่วยลดอาการปวดท้อง ท้องอืด และท้องเสียในผู้ป่วย IBS
3. **โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง** - อาจช่วยบรรเทาอาการของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น โรคโครห์น และโรคลำไส้อักเสบเป็นแผล
4. **การติดเชื้อ Clostridium difficile** - ช่วยป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของการติดเชื้อนี้
5. **การติดเชื้อในช่องคลอด** - โพรไบโอติกบางสายพันธุ์ช่วยป้องกันและรักษาการติดเชื้อราในช่องคลอด
6. **โรคภูมิแพ้และโรคผิวหนังอักเสบ** - บางการศึกษาพบว่า การให้โพรไบโอติกในเด็กอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้และโรคผิวหนังอักเสบ
## โพรไบโอติกกับการอักเสบ
การอักเสบเรื้อรังเป็นรากฐานของโรคเรื้อรังหลายชนิด โพรไบโอติกมีบทบาทสำคัญในการควบคุมกระบวนการอักเสบในร่างกาย:
### กลไกการต้านการอักเสบของโพรไบโอติก:
1. **การสร้างสมดุลของเซลล์ภูมิคุ้มกัน**
- โพรไบโอติกช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ T regulatory (Treg) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมปฏิกิริยาอักเสบ
- ลดการหลั่งสารไซโตไคน์ที่กระตุ้นการอักเสบ เช่น TNF-α, IL-6, IL-1β
2. **เสริมความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้**
- โพรไบโอติกช่วยเพิ่มความแข็งแรงของรอยต่อระหว่างเซลล์ในลำไส้ (tight junctions)
- ป้องกันภาวะลำไส้รั่ว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการอักเสบทั่วร่างกาย
3. **ผลิตกรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acids: SCFAs)**
- เมื่อโพรไบโอติกย่อยสลายพรีไบโอติก จะผลิตกรดไขมันสายสั้น เช่น บิวทิเรต
- SCFAs มีฤทธิ์ต้านอักเสบโดยตรง และเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของเซลล์เยื่อบุลำไส้
### โรคอักเสบที่อาจได้ประโยชน์จากโพรไบโอติก:
1. **โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD)**
- โรคโครห์น (Crohn's disease)
- โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล (Ulcerative colitis)
2. **โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์**
- การศึกษาบางชิ้นพบว่าโพรไบโอติกบางสายพันธุ์อาจช่วยลดอาการปวดและการอักเสบในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ
3. **โรคผิวหนังอักเสบ**
- โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
- โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic dermatitis)
4. **โรคตับอักเสบไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD)**
- โพรไบโอติกอาจช่วยลดการอักเสบและไขมันสะสมในตับ
## โพรไบโอติกกับมะเร็ง
งานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงที่น่าสนใจระหว่างจุลินทรีย์ในลำไส้กับความเสี่ยงและการรักษามะเร็ง:
### บทบาทในการป้องกันมะเร็ง:
1. **การกำจัดสารก่อมะเร็ง**
- โพรไบโอติกบางสายพันธุ์สามารถจับกับสารก่อมะเร็ง (carcinogens) และช่วยกำจัดออกจากร่างกาย
- ลดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปกติไปเป็นเซลล์มะเร็ง
2. **กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านมะเร็ง**
- เพิ่มการทำงานของเซลล์ NK (Natural Killer cells) ซึ่งมีหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็ง
- กระตุ้นการทำงานของ cytotoxic T lymphocytes ที่ช่วยกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติ
3. **ลดการอักเสบเรื้อรัง**
- การอักเสบเรื้อรังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งหลายชนิด
- โพรไบโอติกช่วยลดสภาวะการอักเสบทั่วร่างกาย
### การศึกษาเกี่ยวกับโพรไบโอติกกับมะเร็งชนิดต่างๆ:
1. **มะเร็งลำไส้ใหญ่**
- มีหลักฐานมากที่สุดเกี่ยวกับบทบาทของโพรไบโอติกในการลดความเสี่ยง
- โพรไบโอติกช่วยลดการก่อตัวของก้อนเนื้องอกในลำไส้
- ช่วยรักษาสมดุลของสภาพแวดล้อมในลำไส้ให้ไม่เอื้อต่อการเกิดมะเร็ง
2. **มะเร็งกระเพาะอาหาร**
- โพรไบโอติกอาจช่วยยับยั้งเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหาร
- ลดการอักเสบในกระเพาะอาหาร
3. **มะเร็งตับ**
- ช่วยรักษาสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ลดการผลิตสารพิษที่ตับต้องทำงานหนักในการกำจัด
- ลดการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ตับ
### บทบาทในระหว่างการรักษามะเร็ง:
การศึกษาเบื้องต้นพบว่าโพรไบโอติกอาจช่วยในการรักษามะเร็งในประเด็นต่อไปนี้:
1. **ลดผลข้างเคียงจากเคมีบำบัดและรังสีรักษา**
- ลดอาการท้องเสียที่เกิดจากการรักษา
- ลดการอักเสบของเยื่อบุทางเดินอาหาร
2. **เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา**
- บางการศึกษาพบว่าโพรไบโอติกอาจช่วยเพิ่มความไวของเซลล์มะเร็งต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดและรังสีรักษา
- อาจเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันในการต่อต้านเซลล์มะเร็ง
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยด้านโพรไบโอติกกับมะเร็งยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยมะเร็งควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมโพรไบโอติก โดยเฉพาะในระหว่างการรักษา
## สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดสมดุลของโพรไบโอติก
ภาวะที่เรียกว่า "ดิสไบโอซิส" (Dysbiosis) คือภาวะที่มีความไม่สมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ โดยมีแบคทีเรียไม่ดีมากเกินไปเมื่อเทียบกับแบคทีเรียดี ภาวะนี้อาจนำไปสู่:
1. **ปัญหาระบบทางเดินอาหาร**
- ท้องเสียเรื้อรัง หรือท้องผูก
- ลำไส้รั่ว (Leaky gut syndrome) ซึ่งทำให้สารพิษและเชื้อโรคสามารถผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้
- อาการท้องอืด แน่นท้อง และแก๊สมากผิดปกติ
2. **ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน**
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- กระตุ้นปฏิกิริยาภูมิแพ้และอาการแพ้อาหาร
- เพิ่มโอกาสเกิดโรคภูมิต้านตนเอง เช่น โรคไทรอยด์อักเสบ ข้ออักเสบรูมาตอยด์
3. **ผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสมอง**
- เพิ่มความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล (แกน gut-brain axis)
- มีผลต่อการผลิตสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน
- อาจส่งผลต่อความจำและสมาธิ
4. **ผลกระทบเมตาบอลิซึม**
- เพิ่มความเสี่ยงของภาวะดื้อต่ออินซูลินและเบาหวานชนิดที่ 2
- เพิ่มความเสี่ยงของโรคอ้วน
- มีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือด
ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะดิสไบโอซิส ได้แก่:
- การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยๆ
- อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
- ความเครียดเรื้อรัง
- การนอนไม่เพียงพอ
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- มลพิษในสิ่งแวดล้อม
## อ้างอิง
1. Hill, C., et al. (2014). The International Scientific Association for Probiotics and Prebiotics consensus statement on the scope and appropriate use of the term probiotic. Nature Reviews Gastroenterology & Hepatology, 11(8), 506-514.
2. Gibson, G. R., et al. (2017). Expert consensus document: The International Scientific Association for Probiotics and Prebiotics (ISAPP) consensus statement on the definition and scope of prebiotics. Nature Reviews Gastroenterology & Hepatology, 14(8), 491-502.
3. Swanson, K. S., et al. (2020). The International Scientific Association for Probiotics and Prebiotics (ISAPP) consensus statement on the definition and scope of synbiotics. Nature Reviews Gastroenterology & Hepatology, 17(11), 687-701.
4. Hojsak, I., et al. (2018). Probiotics for the prevention of healthcare-associated diarrhea in children: A systematic review and meta-analysis. Pediatric Infectious Disease Journal, 37(3), e53-e59.
5. Khanna, S., et al. (2017). A novel microbiome therapeutic increases gut microbial diversity and prevents recurrent Clostridium difficile infection. The Journal of Infectious Diseases, 216(3), 398-406.
6. Plaza-Diaz, J., et al. (2019). Evidence of the anti-inflammatory effects of probiotics and synbiotics in intestinal chronic diseases. Nutrients, 11(5), 1073.
7. Yu, A. I., & Zhao, L. (2018). The gut microbiota and colorectal cancer: mechanisms and clinical implications. Nature Reviews Microbiology, 16(7), 387-398.
8. Vivarelli, S., et al. (2019). Gut microbiota and cancer: From pathogenesis to therapy. Cancers, 11(1), 38.
9. Singh, R. K., et al. (2017). Influence of diet on the gut microbiome and implications for human health. Journal of Translational Medicine, 15(1), 73.
10. Inoue, Y., & Shimojo, N. (2015). Microbiome/microbiota and allergies. Seminars in Immunopathology, 37(1), 57-64.
## โพรไบโอติก (Probiotics)
โพรไบโอติกคือจุลินทรีย์ที่มีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า "แบคทีเรียดี" ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของเรา เมื่อรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้และส่งผลดีต่อสุขภาพ
**ตัวอย่างโพรไบโอติก:** แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) และบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium)
**แหล่งอาหาร:** โยเกิร์ต กิมจิ ผักดอง เต้าเจี้ยว เทมเป้ คีเฟอร์ และอาหารหมักดองต่างๆ
### โพรไบโอติกอยู่ที่ไหนบ้างในร่างกาย?
โพรไบโอติกส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในลำไส้ใหญ่ แต่ยังพบได้ในส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย เช่น:
- ช่องปาก
- ลำไส้เล็ก
- ช่องคลอด (สำหรับผู้หญิง)
- ผิวหนัง
### โพรไบโอติกมีในร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่?
ร่างกายของเราเริ่มได้รับโพรไบโอติกตั้งแต่แรกเกิด ระหว่างการคลอดตามธรรมชาติ ทารกจะได้รับแบคทีเรียจากช่องคลอดของมารดา และต่อมาจากน้ำนมแม่ ระบบจุลินทรีย์ในลำไส้ (gut microbiome) จะค่อยๆ พัฒนาและเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงชีวิต โดยได้รับอิทธิพลจากอาหาร ยา สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิต
## พรีไบโอติก (Prebiotics)
พรีไบโอติกคืออาหารของโพรไบโอติก เป็นใยอาหารชนิดพิเศษที่ร่างกายย่อยไม่ได้ แต่แบคทีเรียดีในลำไส้สามารถใช้เป็นอาหารได้ พรีไบโอติกจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและกิจกรรมของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในลำไส้
**ตัวอย่างพรีไบโอติก:** อินูลิน (Inulin), ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์ (FOS)
**แหล่งอาหาร:** หัวหอม กระเทียม กล้วย ข้าวโอ๊ต แอปเปิ้ล หัวชิโครี่ และข้าวบาร์เลย์
## ซินไบโอติก (Synbiotics)
ซินไบโอติกคือการผสมผสานระหว่างโพรไบโอติกและพรีไบโอติกเข้าด้วยกัน เป็นแนวคิดการทำงานร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัย โดยพรีไบโอติกจะเป็นอาหารให้โพรไบโอติก ทำให้โพรไบโอติกเจริญเติบโตได้ดีและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
**ประโยชน์:** การรับประทานทั้งโพรไบโอติกและพรีไบโอติกพร้อมกัน จะเพิ่มโอกาสที่แบคทีเรียดีจะอยู่รอดในลำไส้และทำงานได้ดีขึ้น
## ประโยชน์ต่อสุขภาพ
- ช่วยระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ลดอาการท้องผูก ท้องเสีย
- ลดอาการแพ้และภูมิแพ้บางชนิด
- ช่วยในการดูดซึมแร่ธาตุ
- อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคลำไส้บางชนิด
## เด็กและผู้สูงอายุทานโพรไบโอติกได้หรือไม่?
### สำหรับเด็ก
เด็กสามารถทานโพรไบโอติกได้และมักได้ประโยชน์จากการรับประทานโพรไบโอติก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณี:
- เด็กที่มีอาการท้องเสียจากการติดเชื้อหรือการใช้ยาปฏิชีวนะ
- เด็กที่มีปัญหาโรคลำไส้อักเสบ
- เด็กที่มีอาการแพ้หรือโรคภูมิแพ้
อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้ผลิตภัณฑ์เสริมโพรไบโอติกแก่ทารกและเด็กเล็ก
### สำหรับผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุสามารถรับประทานโพรไบโอติกได้และอาจได้รับประโยชน์เป็นพิเศษ เนื่องจาก:
- ความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้มักลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
- ผู้สูงอายุมักมีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง
- ปัญหาท้องผูกเป็นเรื่องพบบ่อยในผู้สูงอายุ
- โพรไบโอติกอาจช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรงหรือมีโรคประจำตัวร้ายแรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมโพรไบโอติก
## การรักษาโรคด้วยโพรไบโอติก
โพรไบโอติกมีบทบาทสำคัญในการรักษาและป้องกันโรคหลายชนิด:
### โรคที่มีการศึกษาว่าโพรไบโอติกช่วยได้
1. **ท้องเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะ** - โพรไบโอติกช่วยลดโอกาสเกิดอาการท้องเสียที่เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะได้ถึง 60%
2. **โรคลำไส้แปรปรวน (IBS)** - ช่วยลดอาการปวดท้อง ท้องอืด และท้องเสียในผู้ป่วย IBS
3. **โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง** - อาจช่วยบรรเทาอาการของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น โรคโครห์น และโรคลำไส้อักเสบเป็นแผล
4. **การติดเชื้อ Clostridium difficile** - ช่วยป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของการติดเชื้อนี้
5. **การติดเชื้อในช่องคลอด** - โพรไบโอติกบางสายพันธุ์ช่วยป้องกันและรักษาการติดเชื้อราในช่องคลอด
6. **โรคภูมิแพ้และโรคผิวหนังอักเสบ** - บางการศึกษาพบว่า การให้โพรไบโอติกในเด็กอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้และโรคผิวหนังอักเสบ
## โพรไบโอติกกับการอักเสบ
การอักเสบเรื้อรังเป็นรากฐานของโรคเรื้อรังหลายชนิด โพรไบโอติกมีบทบาทสำคัญในการควบคุมกระบวนการอักเสบในร่างกาย:
### กลไกการต้านการอักเสบของโพรไบโอติก:
1. **การสร้างสมดุลของเซลล์ภูมิคุ้มกัน**
- โพรไบโอติกช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ T regulatory (Treg) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมปฏิกิริยาอักเสบ
- ลดการหลั่งสารไซโตไคน์ที่กระตุ้นการอักเสบ เช่น TNF-α, IL-6, IL-1β
2. **เสริมความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้**
- โพรไบโอติกช่วยเพิ่มความแข็งแรงของรอยต่อระหว่างเซลล์ในลำไส้ (tight junctions)
- ป้องกันภาวะลำไส้รั่ว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการอักเสบทั่วร่างกาย
3. **ผลิตกรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acids: SCFAs)**
- เมื่อโพรไบโอติกย่อยสลายพรีไบโอติก จะผลิตกรดไขมันสายสั้น เช่น บิวทิเรต
- SCFAs มีฤทธิ์ต้านอักเสบโดยตรง และเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของเซลล์เยื่อบุลำไส้
### โรคอักเสบที่อาจได้ประโยชน์จากโพรไบโอติก:
1. **โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD)**
- โรคโครห์น (Crohn's disease)
- โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล (Ulcerative colitis)
2. **โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์**
- การศึกษาบางชิ้นพบว่าโพรไบโอติกบางสายพันธุ์อาจช่วยลดอาการปวดและการอักเสบในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ
3. **โรคผิวหนังอักเสบ**
- โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
- โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic dermatitis)
4. **โรคตับอักเสบไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD)**
- โพรไบโอติกอาจช่วยลดการอักเสบและไขมันสะสมในตับ
## โพรไบโอติกกับมะเร็ง
งานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงที่น่าสนใจระหว่างจุลินทรีย์ในลำไส้กับความเสี่ยงและการรักษามะเร็ง:
### บทบาทในการป้องกันมะเร็ง:
1. **การกำจัดสารก่อมะเร็ง**
- โพรไบโอติกบางสายพันธุ์สามารถจับกับสารก่อมะเร็ง (carcinogens) และช่วยกำจัดออกจากร่างกาย
- ลดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปกติไปเป็นเซลล์มะเร็ง
2. **กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านมะเร็ง**
- เพิ่มการทำงานของเซลล์ NK (Natural Killer cells) ซึ่งมีหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็ง
- กระตุ้นการทำงานของ cytotoxic T lymphocytes ที่ช่วยกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติ
3. **ลดการอักเสบเรื้อรัง**
- การอักเสบเรื้อรังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งหลายชนิด
- โพรไบโอติกช่วยลดสภาวะการอักเสบทั่วร่างกาย
### การศึกษาเกี่ยวกับโพรไบโอติกกับมะเร็งชนิดต่างๆ:
1. **มะเร็งลำไส้ใหญ่**
- มีหลักฐานมากที่สุดเกี่ยวกับบทบาทของโพรไบโอติกในการลดความเสี่ยง
- โพรไบโอติกช่วยลดการก่อตัวของก้อนเนื้องอกในลำไส้
- ช่วยรักษาสมดุลของสภาพแวดล้อมในลำไส้ให้ไม่เอื้อต่อการเกิดมะเร็ง
2. **มะเร็งกระเพาะอาหาร**
- โพรไบโอติกอาจช่วยยับยั้งเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหาร
- ลดการอักเสบในกระเพาะอาหาร
3. **มะเร็งตับ**
- ช่วยรักษาสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ลดการผลิตสารพิษที่ตับต้องทำงานหนักในการกำจัด
- ลดการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ตับ
### บทบาทในระหว่างการรักษามะเร็ง:
การศึกษาเบื้องต้นพบว่าโพรไบโอติกอาจช่วยในการรักษามะเร็งในประเด็นต่อไปนี้:
1. **ลดผลข้างเคียงจากเคมีบำบัดและรังสีรักษา**
- ลดอาการท้องเสียที่เกิดจากการรักษา
- ลดการอักเสบของเยื่อบุทางเดินอาหาร
2. **เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา**
- บางการศึกษาพบว่าโพรไบโอติกอาจช่วยเพิ่มความไวของเซลล์มะเร็งต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดและรังสีรักษา
- อาจเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันในการต่อต้านเซลล์มะเร็ง
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยด้านโพรไบโอติกกับมะเร็งยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยมะเร็งควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมโพรไบโอติก โดยเฉพาะในระหว่างการรักษา
## สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดสมดุลของโพรไบโอติก
ภาวะที่เรียกว่า "ดิสไบโอซิส" (Dysbiosis) คือภาวะที่มีความไม่สมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ โดยมีแบคทีเรียไม่ดีมากเกินไปเมื่อเทียบกับแบคทีเรียดี ภาวะนี้อาจนำไปสู่:
1. **ปัญหาระบบทางเดินอาหาร**
- ท้องเสียเรื้อรัง หรือท้องผูก
- ลำไส้รั่ว (Leaky gut syndrome) ซึ่งทำให้สารพิษและเชื้อโรคสามารถผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้
- อาการท้องอืด แน่นท้อง และแก๊สมากผิดปกติ
2. **ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน**
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- กระตุ้นปฏิกิริยาภูมิแพ้และอาการแพ้อาหาร
- เพิ่มโอกาสเกิดโรคภูมิต้านตนเอง เช่น โรคไทรอยด์อักเสบ ข้ออักเสบรูมาตอยด์
3. **ผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสมอง**
- เพิ่มความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล (แกน gut-brain axis)
- มีผลต่อการผลิตสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน
- อาจส่งผลต่อความจำและสมาธิ
4. **ผลกระทบเมตาบอลิซึม**
- เพิ่มความเสี่ยงของภาวะดื้อต่ออินซูลินและเบาหวานชนิดที่ 2
- เพิ่มความเสี่ยงของโรคอ้วน
- มีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือด
ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะดิสไบโอซิส ได้แก่:
- การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยๆ
- อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
- ความเครียดเรื้อรัง
- การนอนไม่เพียงพอ
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- มลพิษในสิ่งแวดล้อม
## อ้างอิง
1. Hill, C., et al. (2014). The International Scientific Association for Probiotics and Prebiotics consensus statement on the scope and appropriate use of the term probiotic. Nature Reviews Gastroenterology & Hepatology, 11(8), 506-514.
2. Gibson, G. R., et al. (2017). Expert consensus document: The International Scientific Association for Probiotics and Prebiotics (ISAPP) consensus statement on the definition and scope of prebiotics. Nature Reviews Gastroenterology & Hepatology, 14(8), 491-502.
3. Swanson, K. S., et al. (2020). The International Scientific Association for Probiotics and Prebiotics (ISAPP) consensus statement on the definition and scope of synbiotics. Nature Reviews Gastroenterology & Hepatology, 17(11), 687-701.
4. Hojsak, I., et al. (2018). Probiotics for the prevention of healthcare-associated diarrhea in children: A systematic review and meta-analysis. Pediatric Infectious Disease Journal, 37(3), e53-e59.
5. Khanna, S., et al. (2017). A novel microbiome therapeutic increases gut microbial diversity and prevents recurrent Clostridium difficile infection. The Journal of Infectious Diseases, 216(3), 398-406.
6. Plaza-Diaz, J., et al. (2019). Evidence of the anti-inflammatory effects of probiotics and synbiotics in intestinal chronic diseases. Nutrients, 11(5), 1073.
7. Yu, A. I., & Zhao, L. (2018). The gut microbiota and colorectal cancer: mechanisms and clinical implications. Nature Reviews Microbiology, 16(7), 387-398.
8. Vivarelli, S., et al. (2019). Gut microbiota and cancer: From pathogenesis to therapy. Cancers, 11(1), 38.
9. Singh, R. K., et al. (2017). Influence of diet on the gut microbiome and implications for human health. Journal of Translational Medicine, 15(1), 73.
10. Inoue, Y., & Shimojo, N. (2015). Microbiome/microbiota and allergies. Seminars in Immunopathology, 37(1), 57-64.
บทความที่เกี่ยวข้อง
ภาวะโลกร้อน หรือความร้อนที่มาจากสิ่งแวดล้อม ทำให้โคมีอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น และเกิดความเครียดเนื่องจากความร้อน (Heat Stress)
6 ธ.ค. 2024
ในปัจจุบันโรคทางจิตเวชอยู่ใกล้ตัวเรามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคซึมเศร้า จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิตพบว่า ในเด็กอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า 1.5 ล้านคน ซึ่งโรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เกิดจากสมองมีการทำงานผิดปติของของสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ได้แก่ ซีโรโทนิน (serotonin) และนอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) ที่มีปริมาณลดต่ำลง ทำให้การส่งสัญญาณของเซลล์ประสาทเกิดความผิดปกติ และอาจมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อารมณ์ ความรู้สึก ความคิดและมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ สามารถแบ่งโรคซึมเศร้าเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 2 กลุ่ม
1.โรคซึมเศร้าแบบขั้วเดียว คือ ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้าอย่างเดียว
2.โรคซึมเศร้าแบบสองขั้ว หรือที่เรียกว่าไบโพลาร์ ผู้ป่วยมีอาการอารมณ์ขึ้นลงมากกว่าคนทั่วไป
9 ธ.ค. 2024
โคเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีระบบการย่อยอาหารที่ซับซ้อน เนื่องจากมีกระเพาะถึง 4 กระเพาะ ได้แก่ รูเมนหรือกระเพาะผ้าขี้ริ้ว (rumen), เรติคิวลัมหรือกระเพาะรังผึ้ง (reticulum), โอมาซัมหรือกระเพาะสามสิบกลีบ (omasum) และกระเพาะจริงหรืออะโบมาซัม (abomasum) แต่ละกระเพาะจะมีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป ในทุกกระเพาะจะมีจุลินทรีย์ประจำถิ่นที่ต่างกันอีกด้วย
19 มี.ค. 2025